จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ บทที่ 1473
ลำแสงกระบี่กระแทกเข้าใส่รัศมีของพลัง จนระเบิดสั่นสะเทือนเกิดเสียงดังตูมตามขึ้น
แต่ลำแสงกระบี่ที่ทรงพลังนั้น กลับไม่มีแม้แต่รอยคลื่นพลังสั่นไหวเหนือรัศมีของพลังนั้นเลย
เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนี้ ใบหน้าของกี่คนนั้นต่างก็หม่นหมองลงอย่างที่สุด
ลู่ซานสูดหายใจลึก และพูดขึ้นเสียงแข็งขึ้นว่า “ลำแสงกระบี่ของฉันนี้ แทบจะเทียบเท่าได้กับอานุภาพของฟ้าร้องในมือของคุณชายจินเอี้ยนเลย ถึงแม้ว่าขอบเขตพลังการทำลายล้างจะเทียบเท่าไม่ได้ แต่อานุภาพการโจมตี เหนือกว่าฟ้าร้องในมืออย่างเทียบกันไม่ได้เลย”
“เพียบพร้อมด้วยพลังการโจมตีระดับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นจิตปฐมตอนต้น”
“แต่รัศมีนี้กลับไม่กระทบกระเทือนอะไรเลย”
“ตอนนี้พวกเรา……ถูกกักขังอยู่ด้านในแล้ว! ”
เวลานี้ หลินหยุนเองก็ขมวดคิ้วขึ้น และสอบถามเจียซินในใจว่า “เสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้มาจากที่ไหน เธอรับรู้สัมผัสได้บ้างไหม? ”
เจียซินพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ไม่รับรู้เลย เสียงดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งไม่ใช่จากตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง! อีกทั้งภายในคฤหาสน์แห่งนี้ ก็ยังไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่! ”
“นายจะต้องระมัดระวังตัวด้วย! ”
หลินหยุนพยักหน้า จากนั้นก็หันมองไปที่จูหยู่และคนอื่น ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “สหายทั้งหลาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไปดูกันที่ด้านหลังของตำหนักแห่งนั้นกันเถอะ! ”
จูหยู่พนักหน้าและพูดว่า “ตกลง! ”
ชะงักไปชั่วครู่ เขาก็พูดต่อว่า “จินเอี้ยน ตอนนี้พวกเราถูกกักขังอยู่ด้านในนี้ ดังนั้นนายอย่าได้ก่อเรื่องจะเป็นการดีที่สุด ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่เกรงใจกับนายเป็นแน่! ”
พูดจบก็ไม่ได้มองไปที่จินเอี้ยนเลย โดยพยักหน้าให้กับหลินหยุน แล้วทั้งสี่คนก็กลับมายังตำหนักนั้นอีกครั้ง
ภายในตำหนัก พวกเขากี่คนนั้นต่างก็จ้องมองสบตาซึ่งกันและกัน
จูหยู่พูดขึ้นว่า “ที่นี่มีช่องทางเดินอยู่สองช่อง มองจากลักษณะแล้วเหมือนจะไม่ได้ไปที่ตำแหน่งเดียวกัน ด้านหลังของตำหนักนี้ไม่ใช่ขอบเขตพื้นที่ภายในของคฤหาสน์ ตกลงมันเป็นอย่างไรกันแน่ ซึ่งพวกเราเองก็ไม่รับรู้ไม่เข้าใจอะไรเลย! ”
“ทำอย่างไรดี? ”
“พวกเราจะเดินไปในเส้นทางไหนดี? ”
“ถ้าหากพวกเราแยกกันเดิน เมื่อประสบกับอันตรายแล้ว จะต้องพบกับความกดดันอย่างมาก เพราะพลังความสามารถถูกแบ่งแยกออกจากกัน”
“ถ้าหากเดินไปในเส้นทางเดียวกัน”
“ก็เป็นไปได้ที่จะเดินผิดทางกันทั้งหมด! ”
ได้ยินที่เขาพูด จื่อหยุนก็รีบพยักหน้า และพูดขึ้นว่า “สหายจูหยู่พูดได้ถูกต้อง ดังนั้นพวกเราจะต้องคิดให้รอบคอบว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปกันดี! ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า “ใครก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจแทนคนอื่นได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันว่าให้ทุกคนตัดสินใจเลือกตามที่ตนเองต้องการเถอะ! ”
ขณะที่พูด หลินหยุนก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะตกลงอย่างไร ส่วนตนเองนั้นเลือกเส้นทางด้านซ้ายมือ แล้วก็เดินตรงเข้าไปด้านในทันที
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมากันที่หลินหยุน
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเรารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งนั้นก็คือ หลินหยุนที่เพิ่งจะก้าวเดินเข้าไปนั้น ยังไม่ทันจะเดินไปได้สักกี่ก้าว เงาร่างก็หายวับไปต่อหน้าต่อหน้าของพวกเขาแล้ว
“นี่มัน……”
เห็นเหตุการณ์ดังนี้ พวกจูหยู่ทั้งสามคนต่างก็พากันสูดหายใจลึกอีกครั้ง!
จื่อหยุนเคลื่อนสายตาไปมา จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ฉันจะเดินในเส้นทางนี้กับสหายหลินหยุน! ”
ขณะที่พูด ก็ไม่ได้รอให้จูหยู่กับลู่ซานพูดอะไรขึ้นอีก แล้วก็เคลื่อนตัวเดินเข้าไปในเส้นทางนั้น พริบตาเดียวก็หายวับไปต่อหน้าต่อหน้าของจูหยู่กับลู่ซานเช่นกัน
เธอไม่ต้องการที่จะเดินไปพร้อมกันกับจูหยู่และลู่ซาน
แม้ว่าเธอจะค่อนข้างเข้าใจพวกเขาทั้งสองคน โดยก่อนหน้านี้ยังถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอีกด้วย
แต่คนอย่างจูหยู่นี้ กระทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าหากเผชิญหน้ากับหนึ่งคนในนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่เธอเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว ยังพอที่จะรับมือได้บ้าง
แต่หากเผชิญหน้ากับทั้งสองคน เธอรู้ดีว่าตัวเองนั้นคงจะไม่มีโอกาสอะไรเป็นแน่!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เธอเองนั้นไม่รู้จักและไม่เข้าใจหลินหยุนเลยแม้แต่น้อย
แต่ภายใต้สถานการณ์อันตรายที่คับขันก่อนหน้านี้ หลินหยุนยังได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือชีวิตของเธอเอาไว้ นี่ก็บ่งบอกให้เห็นถึงจุดสำคัญหลายเรื่อง
ซึ่งอย่างน้อยหลินหยุนก็คือผู้ที่ทำให้เธอวางใจได้
หลังจากที่ก้าวเดินออกไป สถานการณ์เบื้องหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน
สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นโลกมืดที่มีหมอกปกคลุมอย่างหนาแน่นไปหมด
มีระยะการมองเห็นไม่ถึงห้าเมตร
รีบใช้ดวงจิตออกสำรวจ แต่ก็ขาดการเชื่อมต่อกับตนเองไปในทันที
จื่อหยุนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ยังดีที่ บริเวณด้านหน้าที่ไม่ไกลจากเธอเท่าไรนั้น มีหลินหยุนยืนอยู่
เวลานี้หลินหยุนก็ได้หันหน้ากลับมา
มองเห็นจื่อหยุน หลินหยุนเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก
เพียงแค่จื่อหยุนไม่ใช่คนโง่ ก็คงจะต้องเดินตามเขามาอย่างแน่นอน
จื่อหยุนถอนหายใจยาว สงบจิตใจลง และพูดขึ้นว่า “สหายหลินหยุน! ”
หลินหยุนพยักหน้า และพูดขึ้นว่า “ที่นี่น่าจะเป็นบริเวณพื้นที่ที่บุกเบิกขึ้นด้วยหินหมึกเทา แต่ว่าส่วนหนึ่งนั้นได้ก่อสร้างเป็นคฤหาสน์ ซึ่งตอนนี้พวกเราได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกของคฤหาสน์แล้ว! ”
“เดิมที พวกเราคิดว่าคฤหาสน์นั้นคือบริเวณพื้นที่ทั้งหมด! ”
“ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันจะไม่ใช่อย่างนั้น! ”
จื่อหยุนพยักหน้า และพูดขึ้นว่า “สหายหลินหยุน แต่ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหมอก ถึงขนาดที่แม้แต่ดวงจิตก็ยังไม่สามารถใช้การได้ พวกเราควรจะทำอย่างไรต่อดี? ”
หลินหยุนครุ่นคิดชั่วครู่ และพูดว่า “ไม่เป็นไร พื้นที่บริเวณนี้ไม่กว้างใหญ่มากนัก ต่อให้ไม่มีดวงจิตจริง ๆ แล้วหากจะตรวจสอบก็ทำได้โดยที่ไม่ยากมากนัก”
“พวกเราเพียงแค่ระมัดระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นในที่แห่งนี้ก็พอแล้ว! ”
“ขณะที่พูด หลินหยุนก็ก้าวเดินเข้าไปในท่ามกลางสายหมอก”
จื่อหยุนเห็นดังนั้น ก็รีบเดินตามเข้าไป
ทั้งสองคนเดินอยู่ท่ามกลางสายหมอก โดยที่รอบตัวมองอะไรไม่เห็นเลย เป็นพื้นที่ราบไปทั้งหมด
หลินหยุนเองก็ให้เจียซินใช้ดวงจิตของหล่อนตรวจสอบอยู่อย่างต่อเนื่อง
แต่ต่อให้เจียซินเอง ก็ไม่สามารถที่จะตรวจสอบในระยะไกลได้
ทั้งสองคนมุ่งหน้าเดินตรงไปในทิศทางเดียว
แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เจียซินก็พูดเตือนขึ้นว่า “เหมือนด้านหน้าจะมีภูเขาหนึ่งลูก เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างระมัดระวังด้วย”
หลินหยุนพยักหน้า และมุ่งหน้าเดินต่อไป
เดินหน้าต่อไปอีกประมาณเกือบหนึ่งร้อยเมตร ด้านหน้าก็ปรากฏภูเขาลูกหนึ่งขึ้นจริง ๆ
หากจะพูดให้ถูกต้อง น่าจะเป็นหินยักษ์ที่มีลักษณะคล้ายกับภูเขา
เห็นได้ชัดว่า หินยักษ์นี้ไม่ได้มีขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยเกิดจากผู้ที่เก่งกาจมีความสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่แข็งแกร่งตัดส่วนหนึ่งออกมา แล้วเคลื่อนย้ายมาวางไว้ที่ตรงนี้
ในขณะนั้นเอง เจียซินก็พูดขึ้นอีกว่า “เดินไปทางซ้าย ตรงทางซ้ายนั้นมีประตูทางเข้าอยู่! ”
หลินหยุนพยักหน้า มองไปที่จื่อหยุนและพูดว่า “ทางซ้าย! ”
ขณะที่พูด ก็ได้เดินตรงไปทางซ้าย
ไม่นานนักทั้งสองคนก็พบเห็นประตูทางเข้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก
ทันใดนั้นจื่อหยุนก็มองไปที่หลินหยุนด้วยท่าทางที่ตกใจและพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้สหายหลินหยุนรู้ว่าที่นี่มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ตอนนี้ก็ยังรู้อีกว่าทางด้านซ้ายมีประตูทางเข้าด้วย! ”
“สหายหลินหยุน หรือว่าพลังดวงจิตของนายสามารถใช้การได้แล้วอย่างนั้นเหรอ? ”
หลินหยุนเหมือนว่าจะรอบรู้ไปซะทุกเรื่อง ทำให้จื่อหยุนรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
หลินหยุนส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเดินไปยังปากถ้ำเพื่อจะเดินเข้าไปด้านใน
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินเข้ามาในถ้ำนั้น ความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรงก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของทั้งสองคนในทันที
หลินหยุนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบหันหลังกลับเพื่อที่จะถอยหลังออกไป
แต่ขณะที่เขาหันกลับมานั้นก็พบว่า ปากถ้ำที่ตนเองเพิ่งจะเดินผ่านเข้ามานั้น ได้สูญหายไปแล้ว
กลับกลายเป็นทางตันไปโดยสิ้นเชิง
หลินหยุนมีสีหน้าท่าทางที่หม่นหมองอย่างที่สุด แล้วก็ปล่อยหมัดชกออกไปโดยพลัน แต่ก็ไม่เกิดผลอะไรแม้แต่น้อย
ในขณะนั้นเอง เสียงอู้อี้อื้ออึงที่เสียดหูก็ดังขึ้นเป็นระยะ