จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ บทที่ 1412
“หากว่าเป็นยอดฝีมือยาทองระดับเก้า”
“ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดควบคุมศูนย์ค่ายกล จำเป็นต้องมีสามคนขึ้นไป จึงจะสามารถทำให้เกิดการสั่นคลอนได้ แต่หากคิดที่จะทำลายค่ายกลนั้น มันไม่ง่าย! แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้! ”
“ศูนย์ค่ายกลมีหกจุด! ”
“จำเป็นต้องมียอดฝีมือที่มีพลังบำเพ็ญอย่างน้อยในระดับขั้นยาทองระดับเจ็ดขึ้นไปจำนวนหกคนทำการควบคุม จึงจะสามารถขับเคลื่อนได้! ”
“เมื่อศูนย์ค่ายกลถูกควบคุมทั้งหมด และทำให้ค่ายกลเกิดการขับเคลื่อนขึ้น ต่อให้มียอดฝีมือสูงสุดขั้นยาทองระดับเก้าอย่างเจ้าสำนักอริยสัจจำนวนห้าคน ก็ยังคงไม่สามารถที่จะทำลายค่ายกลลงได้! ”
“ที่จริงแล้วค่ายกลนี้ยังจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้อีก! “
“แต่ว่าฉันไม่ได้กระทำอย่างนั้น! ”
“สำหรับเหตุผล พวกเธอลองไปคิดกันเอาเอง! ”
“พอเถอะ เรื่องสำนักของพวกเธอจบลงเพียงเท่านี้! ”
“ระหว่างพวกเธอกับพวกสี่เยว่นั้น อนาคตภาคหน้าจะเป็นอย่างไรฉันก็ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย นี่คือการตัดสินใจของพวกเธอเอง คือเรื่องของพวกเธอกันเอง! ”
“นับตั้งแต่วันนี้ไป ฉันเองก็ไม่ใช่พระคุณเจ้าของสำนักหยุนเยว่อีกต่อไปแล้ว! ”
“ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับสำนักของเธอนั้น ก็แทบจะสิ้นสุดลงแล้ว! ”
“ในอนาคต พวกเธอก็ดูแลและจัดการเรื่องราวของตนเองให้ดีก็แล้วกัน! ”
“อนาคตของสำนักหยุนเยว่อยู่ในมือของพวกเธอแล้ว จะดี หรือจะร้าย ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเธอแล้ว! ”
“วันนี้ฉันจะออกไปจากสำนักหยุนเยว่ ผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่ง ฉันจะกลับมาอีกครั้ง! ”
“เมื่อฉันกลับมาอีกครั้ง ก็ถึงเวลาที่ฉันจะตามหาจู่ซือของพวกเธอแล้ว! ”
ขณะที่พูด ก็มองไปที่ฉินเหมยและซิงเฟย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ พวกเราได้เวลาไปกันแล้ว! น้าฉิน ฉันจะส่งท่านกลับไปที่เมืองมี่หยุนก่อน! ”
หญิงทั้งสองคนพยักหน้า แล้วก็ติดตามหลินหยุนออกไปจากสำนักหยุนเยว่
มองไปยังเงาร่างของหลินหยุนที่พาผู้หญิงทั้งสองคนนั้นเดินจากไป สองเยว่และคนอื่น ๆ ต่างก็คุกเข่าข้างเดียวลงเพื่อน้อมส่ง
ช่วงเวลานั้น สภาพจิตใจอึดอัดซับซ้อนมาก
ผ่านไปชั่วครู่ เงาร่างของหลินหยุนได้ลับตาไปแล้ว สองเยว่และคนอื่น ๆ จึงได้ลุกยืนขึ้น
สิบเยว่พูดขึ้นว่า “ พี่รอง……”
สองเยว่สูดหายใจลึก และพูดว่า “เจ้าพระคุณพูดได้ถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องขึ้นอยู่กับพวกเราเองแล้ว! สิบเยว่ ไปบอกกับสี่เยว่ ให้หล่อนกลับมายังสำนัก โดยพวกเราต้องปรึกษากันอีกครั้งว่า สำนักจะต้องพัฒนาอย่างไรต่อไปในอนาคต! ”
“ไม่ว่าอย่างไร! ”
“ก็ไม่สามารถที่จะแบ่งแยกออกจากกันได้! ”
“ไม่ว่าผู้ใด! ”
“นับตั้งแต่วันนี้ไป ถ้าคิดที่จะแบ่งแยก ก็จะต้องถูกสังหาร! ”
……
บนท้องฟ้า หลินหยุนกำลังพาฉินเหมยกับซิงเฟยเดินทางไปที่เมืองมี่หยุน
ซึ่งหลังจากที่พวกเขาออกมาได้ไม่นานนัก ข่าวสารก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกคุนชางแล้ว
หลินชางฉอง ออกมาจากสำนักหยุนเยว่แล้ว!
ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยที่ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดจะไปที่ไหนกันแน่ แต่เป็นทิศทางที่ไปยังสำนักอริยสัจหรือสำนักเทียนหยุนอย่างแน่นอน! ซึ่งไม่ใช่ทิศทางที่จะไปยังสำนักเต๋าเฉินเซียว และสำนักฉีซาน
ฉินเหมยมองไปที่หลินหยุน และพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหยุน ก่อนหน้านี้ที่นายพูดขึ้นที่สำนักหยุนเยว่นั้น ล้วนเป็นความจริงทั้งหมดใช่ไหม? ”
หลินหยุนได้ยินดังนั้น ก็พูดถามขึ้นว่า “ที่น้าฉินพูดนั้นคืออะไร? คือเรื่องเกี่ยวกับหมื่นจักรวาลหรือว่าเรื่องจู่ซือของสำนักหยุนเยว่? ”
ฉินเหมยพูดขึ้นว่า “ทั้งหมดเลย! ”
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า “น้าฉินไม่ต้องสงสัยอะไรไปหรอก ทั้งหมดเป็นความจริง! ”
ฉินเหมยชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าซับซ้อนขึ้นมาบ้าง และพูดว่า “อย่างนั้น……คู่ฝึกฝนของนาย ยังคงมีชีวิตอยู่จริง ๆ เหรอ? ”
หลินหยุนพยักหน้า และพูดว่า “ยังมีชีวิตอยู่! แต่ว่าหล่อนน่าจะประสบกับอันตรายอันร้ายแรง จำเป็นต้องให้ฉันไปช่วยเหลือหล่อน! ”
ฉินเหมยมองไปยังซิงเฟยที่อยู่ด้านข้าง เวลานี้ซิงเฟยมีสีหน้าที่หม่นหมอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลยสักคำ
ฉินเหมยขยับตัวเข้ามาใกล้หลินหยุน และพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหยุน ในเมื่อนายมีคู่ฝึกฝนแล้ว และคู่ฝึกฝนก็ยังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้น……นายจะกระทำอย่างไรกับหญิงสาวคนนี้ล่ะ? น้าฉินไม่เชื่อหรอกว่านายจะไม่รู้ถึงจิตใจของหญิงสาวคนนี้! ”
หลินหยุนเองก็มองไปที่ซิงเฟยเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “น้าฉิน เรื่องนี้ ไว้ค่อยพูดกันทีหลังเถอะ! ”
เห็นว่าหลินหยุนไม่อยากที่จะพูด ฉินเหมยเองก็ไม่ได้ย้ำถามอะไรอีก
เธอเชื่อว่า หลินหยุนสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี
เมืองมี่หยุน ตระกูลฉิน
หลินหยุนกับซิงเฟยได้พาฉินเหมยกลับมาส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งตระกูลฉิน หรือว่าทั่วทั้งเมืองมี่หยุนต่างก็อึกทึกครึกโครมไปกันหมดแล้ว
โดยที่ตระกูลฉินนั้นได้กลายเป็นศูนย์กลางของเมืองมี่หยุนไปแล้ว
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่มีหน้ามีตาในเมืองทุกคน ต่างก็ทยอยกันมาเข้าพบกับตระกูลฉิน
แม้แต่ทั้งสองเจ้าเมืองก็ยังมากันด้วย
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเอ่ยขอพบกับหลินหยุน หลินหยุนเองก็ไม่ต้องการที่จะพบใครเช่นกัน
จากการที่ฉินเหมยร้องขออย่างจริงจัง หลินหยุนจึงได้พักอาศัยอยู่ที่ตระกูลฉินหนึ่งวัน จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็พาซิงเฟยไปจากเมืองมี่หยุน
โดยมุ่งหน้าไปยังสำนักอริยสัจ
ระหว่างทาง บรรยากาศค่อนข้างจะเก้อเขิน
ซิงเฟยไม่พูดไม่จาอะไรเลย หลินหยุนเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอะไรดี
ทั้งสองคนต่างก็สงบเงียบกันอยู่อย่างนั้น โดยกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จนมาถึงภูเขาที่ตั้งของสำนักอริยสัจแล้ว
เมื่อหลินหยุนกับซิงเฟยมาถึง ทั้งสำนักอริยสัจก็ได้รับทราบข่าวสารก่อนล่วงหน้าแล้ว จึงได้จัดเตรียมกำลังต้อนรับอย่างหนาแน่น
ยอดฝีมือขั้นยาทองนับร้อยคนปรากฏตัวอยู่ที่ด้านนอกภูเขา โดยทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาที่หลินหยุนและซิงเฟยกันทั้งหมด
หลิยหยุนพาซิงเฟยลอยตัวยืนอยู่ในอากาศ
ขณะที่กำลังจะลอยตัวลงมานั้น สีหน้าท่าทางของหลินหยุนก็ได้เปลี่ยนแปลงขึ้นโดยพลัน
เห็นสีหน้าที่ย่ำแย่อย่างมากของเขา ซิงเฟยที่สงบเงียบมาโดยตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะรีบถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ? ”
หลินหยุนยังคงสงบนิ่ง ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ได้หันหลังแล้วมองไปยังทิศใต้ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ทางนั้น คือทิศทางที่ตั้งของสำนักหยุนเยว่!
แต่ เขาไม่ได้มองไปที่สำนักหยุนเยว่
โดยได้มองไปยังทิศใต้ที่ไกลออกไปอีก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาเข้ามาสู่โลกคุนชาง
ทันใดนั้นเลือดลมในร่างกายพลุ่งพล่านขึ้น ทำให้จิตใจของหลินหยุนเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นอย่างมาก
ด้านนอกของโลกคุนชาง อาจจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!
ตอนนี้พลังบำเพ็ญของเขานั้นได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ความรู้สึกของเลือดลมแบบนี้ ก็ยิ่งจะชัดเจนมากขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของระดับพลังบำเพ็ญ
ผู้เก่งกาจไร้เทียมทานที่มีพลังบำเพ็ญที่สูงส่ง ไม่เพียงแต่เลือดลมที่มีความรู้สึก ทั้งยังรับรู้ได้อย่างว่องไว ต่อวิกฤตอันตรายอีกด้วย
โดยที่หลังจากเข้าใจรับรู้คุณธรรมศีลธรรมมากยิ่งขึ้นนั้น ก็จะเกิดพลังความสามารถพิเศษในลักษณะนี้ขึ้น
โดยไม่ใช่ว่าหลินหยุนจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
หากว่าพลังบำเพ็ญเพียงพอ ไม่เพียงแต่จะรับรู้วิกฤตอันตรายของตนเองได้อย่างชัดเจนเท่านั้น ยังจะสามารถรับรู้ถึงวิกฤตอันตรายของผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันกับตนเองได้อีกด้วย
เลือดลมของหลินหยุนที่พลุ่งพล่านขึ้นนั้นถูกต้องอย่างมาก เพราะด้านนอกของโลกคุนชางในเวลานี้ ได้เกิดเรื่องใหญ่ที่สะเทือนเลือนลั่นขึ้นแล้ว
พวกยอดฝีมือไร้เทียมทานที่หลบซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานานหลายปีนั้น ต่างก็ทยอยกันออกมาแล้ว
สามเดือนก่อนหน้านี้
ทะเลหนานไห่ได้เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นอย่างกะทันหัน ผืนทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล ถูกซัดโหมกระหน่ำ เรือประมงและเรือสินค้าจำนวนนับไม่ถ้วน ล่มจมลงกลางทะเลไปทั้งหมด
ผู้คนแต่ละชนชาติของทั่วโลกต่างก็สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก
คลื่นมรสุมพัดโหมติดต่อกันนานนับเดือน
ทำให้น้ำทะเลท่วมบรรดาเมืองชายฝั่งไปกว่าร้อยแห่ง ผู้คนจำนวนนับล้านไม่มีบ้านที่อยู่อาศัย และยังมีผู้คนอีกนับหมื่นรายที่ต้องเสียชีวิตลงไปกับการซัดโหมของคลื่นมรสุมในครั้งนี้
ผู้คนนับสิบล้านคนทยอยกันอพยพย้ายถิ่นฐาน
ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยให้ทะเลหนานไห่กลับคืนสู่ความสงบ ก็ยังมีคนอีกจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจมปลักอยู่กับความทุกข์ทรมาน
การกลายพันธุ์ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
สิ่งมีชีวิตโบราณที่ทรงพลังอย่างมหาศาลตนหนึ่ง ได้เดินขึ้นมาจากมหาสมุทร
นี่คือสัตว์ประหลาดตนหนึ่ง ซึ่งสัตว์ประหลาดตนนี้ มีรูปร่างเป็นมังกร มีแปดปีก สองเท้า และมีความสูงเท่ากับคนสามคน
ขณะที่กระพือปีกนั้นสูงทะลุเข้าสู่ชั้นเมฆ แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก เพราะว่ามีลักษณะคล้ายมังกร จึงถูกไล่ตามและได้รับการบูชาจากชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วน
สำหรับมังกรนั้น แสดงถึงความเป็นสิริมงคลของชาวจีนมาตั้งแต่อดีตโบราณ ซึ่งเป็นตำนานเล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ
ถึงขนาดที่ชาวจีนทั้งหมด ก็ยังเรียกขานตนเองว่าเป็นผู้สืบทอดของมังกรมาเป็นเวลานานแล้ว
ครั้งนี้ได้พบกับมังกรที่แท้จริง ทำไมถึงจะไม่ไล่ตามกันอย่างบ้าคลั่งล่ะ?
แต่ผู้ที่ไล่ตามสัตว์ประหลาดตนนี้นั้น ต่างก็ถูกสัตว์ประหลาดตนนี้กินไปทั้งหมด
เวลาสั้น ๆ เพียงสิบวัน มีผู้คนนับหมื่นรายที่เสียชีวิตลงเพราะถูกสัตว์ประหลาดตนนี้กินเข้าไป
ในที่สุด ทุกคนต่างก็อดทนกันต่อไปไม่ไหวแล้ว!
ทางการได้จัดส่งกองกำลังอาวุธที่แข็งแกร่งเข้าล้อมโจมตี
ถึงขนาดใช้อาวุธปรมาณูเลยทีเดียว
แต่ในท้ายที่สุดก็ยังไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย กลับยังเป็นการยั่วยุให้สัตว์ประหลาดตนนั้นโกรธแค้นหนักขึ้นไปอีก และเริ่มที่จะฆ่าคนอย่างบ้าเลือดอีกครั้ง
หนึ่งเดือนผ่านไป ผู้คนจำนวนนับล้านรายต่างก็เสียชีวิตลงภายใต้น้ำมือของสัตว์ประหลาดตนนี้