จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ บทที่ 1388
เขากับเจียซิน ได้ทำสัญญากันไว้แต่แรกแล้ว
หรือถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือข้อแลกเปลี่ยน
เขาไม่มีหน้าที่อะไร ที่จะต้องมอบหินตัวกลางก้อนนี้ให้อีกฝ่าย
หลินหยุนถือหินตัวกลางไว้ในมือ พลันนั่งขัดสมาธิลงบนเตียงโดยปราศจากความลังเลใดๆ จากนั้นก็เริ่มทำการหล่อหลอมยาทองขึ้นอีกครั้ง
ในหินตัวกลางก้อนนี้ มีกฎเกณฑ์ของต้าเต๋าคงอยู่
ดังนั้นหลินหยุนจึงหล่อหลอมยาทองได้เร็วกว่าครั้งก่อน
เร็วกว่ากระทั่งสามถึงสี่เท่า
ในขณะที่หลินหยุนกำลังหล่อหลอมยาทอง นอกสำนักหยุนเยว่ในตอนนี้ มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมุ่งมารวมตัวกันทางนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
นำโดยสำนักอริยสัจ
พร้อมทั้งสำนักเทียนหยุน และยอดฝีมือแห่งสำนักฉีซาน
นอกจากสามสำนักใหญ่นี้ กระทั่งสำนักเต๋าเฉินเซียวเอง ก็มีการมาเยือนของผู้แข็งแกร่ง
ผู้ที่เป็นหัวหอก ย่อมเป็นเจ้าสำนักยอดฝีมือแดนยาทองระดับเก้าแห่งสำนักอริยสัจ
จากนั้นก็เป็นเจ้าสำนักเทียนหยุน
ยอดฝีมือแดนยาทองระดับเก้าสองคน
ตามหลังด้วยเสิ่นฉง เฉินฉางเฟิง และยังมีผู้อาวุโสหนึ่งท่านของสำนักเต๋าเฉินเซียว ผู้อาวุโสหนึ่งท่านของสำนักฉีซาน และรองเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนหยุน
ยอดฝีมือแดนยาทองระดับแปดห้าคน
นอกจากยอดฝีมือชั้นยอดเจ็ดคนนี้แล้ว ก็มีบุตรอริยสัจแห่งสำนักอริยสัจ บุตรธยานะแห่งสำนักธยานะ บุตรกระบี่แห่งสำนักกระบี่เป่ยโต่ว และหวงฉาวแห่งสำนักเทียนหยุน
คนเหล่านี้เองก็ต่างปรากฏตัวที่นี่
นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนจากเก้าสำนักใหญ่ ยังมีที่มากกว่านั้นคือเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนจากสิบแปดสำนักเต๋า
และยังมีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ
ณ ตอนนี้ ทางด้านฝั่งนี้นั้นอื้ออึงเอิกเกริก
ยังมีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยที่กำลังมุ่งหน้ามา
หนึ่งในนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนฉกาจสองคน พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีดำทั้งตัว บนศีรษะสวมหมวกสาน
มองเห็นใบหน้าไม่ชัด
สองคนนี้ต่างมีพลังบำเพ็ญแดนยาทองระดับแปด
ทันทีที่เห็นสองคนนี้ สายตาของคนไม่น้อยก็พลันจับจ้องมาที่พวกเขา
วิหารผนึกวิญญาณ!
การแต่งกายแบบนี้ คือสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของวิหารผนึกวิญญาณ
คิดไม่ถึงเลย ว่ากระทั่งผู้แข็งแกร่งของวิหารผนึกวิญญาณเองก็ยังมา
ณ ตอนนี้ ก็ยังคงมีผู้แข็งแกร่งกำลังมุ่งมาอย่างไม่ขาดสาย
ไม่นาน ก็มีลำแสงสว่างปรากฏขึ้น นั่นคือผู้บำเพ็ญเซียนแห่งสำนักสุริยัน
ผู้ที่นำอยู่หน้าสุด คือผู้บำเพ็ญเซียนแดนยาทองระดับเจ็ด
คนคนนี้มีคนรู้จักไม่มาก แต่ก็ไม่อาจนับว่าน้อย
เขาคือฉิวหรง เจ้าสำนักแห่งสำนักสุริยัน ที่กักตัวฝึกฝนมาเป็นเวลายาวนาน
เขาออกมาแล้ว!
ทว่าที่ทำให้ทุกคนต่างคาดไม่ถึงคือ เขาฝึกฝนพลังบำเพ็ญไปจนถึงขั้นแดนยาทองระดับเจ็ดแล้ว!
ไม่ใช่แดนยาทองระดับหก
ผู้บำเพ็ญเซียนบางส่วนที่รู้จักหรือมีความสัมพันธ์บางส่วนกับสำนักสุริยัน ณ เวลานี้ ตอนที่มองไปยังฉิวหรงต่างก็รู้สึกหนังตากระตุก
พลันรู้สึกสันหลังเย็นเยียบ
“นี่คือฉิวหรง!”
“เขากักตัวฝีกฝนออกมาแล้ว”
“แต่กลิ่นอายบนตัวเขา ทำไมถึงได้แกร่งกล้าขนาดนี้?”
“ก็นี่มันแดนยาทองระดับเจ็ด!”
“เจ้าหมอนี่ ซ่อนไว้ลึกเกินไปหรือเปล่า!”
“ทุกคนต่างนึกว่า ที่เขากักตัวฝึกฝนก็เพื่อที่จะบรรลุแดนยาทองระดับหก แต่กลับไม่มีใครคาดคิด ว่าเดิมทีเขาก็มีพลังบำเพ็ญแดนยาทองระดับหกอยู่แล้ว ที่เขาต้องการบรรลุคือแดนยาทองระดับเจ็ดต่างหาก!”
เจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว
ทันใดนั้น ก็มีคนบางส่วนกำลังมุ่งมาทางสำนักหยุนเยว่ จากทิศทางเดียวกันกับสำนักสุริยัน
เงาร่างนับสิบนั้น พวกเขามาจากเมืองมี่หยุน
หนึ่งในนั้นมีเจ้าเมืองมี่หยุน และผู้บำเพ็ญเซียนของตระกูลฉิน
ส่วนด้านหลังพวกเขา ก็มีเงาหนึ่งที่หลบๆซ่อนๆ
มุ่งไปข้างหน้าได้ระยะทางหนึ่งก็จะหยุดลง พลันสำรวจดูรอบสี่ทิศครู่หนึ่ง แล้วจึงจะตามหลังไปอย่างระมัดระวัง
ณ นอกหุบเขาหมอกขาวของสำนักหยุนเยว่ ผู้บำเพ็ญเซียนที่มาเยือนยิ่งดูหนาตามากขึ้น
และก็มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยที่กำลังมุ่งหน้ามาเพราะหวังมาชมเอาสนุก
เจ้าสำนักอริยสัจ และเจ้าสำนักเทียนหยุน คือสองคนแรกที่มาถึงหุบเขาหมอกขาว
สายตาของทั้งคู่นั้นต่างจับจ้องเข้าไปยังหมอกขาว
เจ้าสำนักอริยสัจหรี่ตามอง สักพัก ก็หันไปถามเจ้าสำนักเทียนหยุนว่า “สหาย นายคิดว่าไง?”
เจ้าสำนักเทียนหยุนเอ่ยตอบว่า “ฉันเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง! จำได้ขึ้นใจเลยล่ะ แม้จะบอกว่าตอนนี้สำนักหยุนเยว่อ่อนแอลง ทว่ารากฐานของพวกเขานั้นก็ยังคงลึกล้ำและแข็งแกร่งมาก”
“แค่ค่ายกลนี่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำนักเทียนหยุนของเราเทียบได้แน่ๆ!”
“สำนักอริยสัจของนายเองก็นับว่าสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ทว่าหากพูดถึงเรื่องการตั้งค่ายกล เดาว่าก็คงจะเทียบไม่ติดเหมือนกัน”
เจ้าสำนักอริยสัจเอ่ยตอบยิ้มๆว่า “นั่นสินะ! แต่ที่ทำให้ฉันสงสัยคือเหมือนว่าในสมัยโบราณกาลจะไม่มีตัวตนแบบสำนักหยุนเยว่คงอยู่เลย ประหนึ่งว่าการสืบสานนี้จู่ ๆก็ปรากฏขึ้นมากะทันหัน”
“ส่วนสำนักหยุนเยว่เอง ในสมัยโบราณกาล ก็ไม่มีการบันทึกเหลือทิ้งไว้เลยสักนิด”
“แม้กระทั่งในบันทึกของสำนักฉันเอง ก็ไม่เคยกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย!”
“รู้เพียงแค่ว่าหลังผ่านสมัยโบราณกาล จู่ๆสำนักนี้ก็โผล่ขึ้นมาในชั่วข้ามคืน!”
“จากนั้น พวกเขาก็ครอบครองตำแหน่งเจ้าเหนือหัวแห่งโลกคุนชางเป็นเวลายาวนาน”
“ถ้าไม่ใช่เพราะประสบเรื่องราวมามากมาย และสำนักนี้เองก็ไม่ได้แก่งแย่งเป็นเจ้าเหนือหัวขนาดนั้น กระทั่งในเรื่องละโลกเองก็ไม่ได้มีความต้องการอันแรงกล้าอะไร ไม่งั้นในตอนนี้ ตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งแห่งโลกคุนชางนี่ ก็อาจจะยังเป็นของสำนักหยุนเยว่ก็เป็นได้!”
นานนับหลายชั่วอายุคนมานี้
สำนักหยุนเยว่มีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง
นั่นก็คือถ่อมตัวมากเกินไป!
ทุกรุ่นจะมีนางสิบสองเยว่
ทว่า นางเยว่ทุกรุ่น จะรับลูกศิษย์เพียงคนเดียว
ลองคิดดู
ว่าแม้สำนักนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่นั่นก็ไม่อาจแข็งแกร่งได้ตลอดไปแน่ ๆ!
ถ่อมตัวเกินไปแล้ว!
อีกทั้งในระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นอีก
นี่จึงทำให้ตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของสำนักหยุนเยว่เริ่มถูกท้าทาย
เจ้าสำนักเทียนหยุนเอ่ยถามว่า “ตาแก่ วันนี้ เราจะลงมือสุดกำลังจริงๆเหรอ?”
เจ้าสำนักอริยสัจตอบว่า “ส่วนตัวฉันไม่ต้องการให้ลงมือสุดกำลัง!”
ได้ยินคำพูดของเขา เจ้าสำนักเทียนหยุนก็อดแค่นเสียงขำไม่ได้ เบะปากเอ่ยว่า “ตาแก่อย่างนายนี่ จอมปลอมเสมอต้นเสมอปลายเสียจริงๆ!”
“ถ้าจะให้พูดในตอนนี้ ว่าใครที่ต้องการให้สำนักหยุนเยว่สูญสิ้นมากที่สุด ฉันว่าทั้งโลกคุนชางนี่ นอกจากนาย นอกจากสำนักอริยสัจของพวกนาย ก็หาใครออกมาไม่ได้อีกแล้ว!”
เพราะหลินชางฉองงั้นเหรอ?
นั่นมันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น!
สำนักอริยสัจมีเหตุผลที่ต้องฆ่าหลินชางฉองเสียที่ไหน!
ทว่า
เมื่อเทียบกับฆ่าหลินชางฉอง สิ่งที่พวกเขาอยากทำมากกว่านั้น คือการขจัดสำนักหยุนเยว่ให้สิ้นซากต่างหาก!
นี่อาจจะหลอกคนอื่นได้
แต่ใช้ไม่ได้กับเจ้าสำนักเทียนหยุน
เพราะแค่สำนักหยุนเยว่อยู่ต่ออีกหนึ่งวัน ก็ทำให้ตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของสำนักอริยสัจยิ่งสั่นคลอน
จุดนี้ ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น!
หากพูดถึงในโลกคุนชางนี่ จะมีสำนักไหนที่สามารถทำให้ตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของสำนักอริยสัจสั่นคลอนได้ นั่นก็ย่อมไม่พ้นสำนักหยุนเยว่แน่นอน
แม้ดูทรงแล้วสำนักหยุนเยว่จะกำลังถดถอยลงทุกที
ทว่าก็ไม่อาจทำให้สำนักอริยสัจเบาใจได้!
มีเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสบายใจได้จริงๆ นั่นก็คือสำนักหยุนเยว่สูญสิ้นไปซะ!
ได้ยินเจ้าสำนักเทียนหยุนพูดดังนั้น เจ้าสำนักอริยสัจเองก็ไม่ได้อธิบายอะไร กลับยอมรับตรงๆ เห็นเพียงเขาถอนหายใจเบาๆ พลันปริปากเอ่ยอย่างจนใจเล็กน้อยว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้!”
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด!”
“ผลประโยชน์ของตัวเอง จะแบ่งครึ่งให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน!”
“นี่คือโอกาสอันดีเยี่ยม!”
“อย่างน้อย เราก็สามารถสืบสาวได้ว่า สำนักหยุนเยว่นั้นยากแท้หยั่งถึงเพียงใดได้ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่งั้น ก็ต้องอยู่กับภัยคุกคามแบบนี้ต่อไป นี่จะเป็นตัวแปรที่ใหญ่ที่สุดสำหรับโอกาสของเราในอนาคต”
“เราจะปล่อยตัวแปรที่ไม่อาจควบคุมนี้ไว้ไม่ได้เด็ดขาด!”