จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ บทที่ 1236
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไรมาก นั่งขัดสมาธิลง แล้วก็บำเพ็ญฝึกฝนต่อ
โรงเตี๊ยมเยว่หลายแห่งนี้ราคาไม่ใช่ถูก ๆ แต่สภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญก็ถือว่าเหมาะสมคู่ควรต่อราคานี้จริง ๆ
ไม่พูดก็คงไม่ได้ สถานที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่บำเพ็ญฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ที่หลินหยุนพบเจอหลังจากที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ทะเลสาบเยว่หยา เขาได้ทุ่มทุนมหาศาล เพื่อจัดวางค่ายกลรวมพลังขนาดใหญ่และมีระดับสูงสุด รวมถึงค่ายกลพิทักษ์ที่มีทั้งเชิงรุกและเชิงรับ
แต่โลกมนุษย์มีชี่ทิพย์ที่เบาบางอย่างมาก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับโลกคุนชางแล้ว แตกต่างกันลิบลับ
ภายใต้การควบคุมของค่ายกลรวมพลัง ก็จะแข็งแกร่งกว่าภายในโลกคุนชางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสถานที่แห่งนี้ภายใต้การควบคุมของค่ายกลรวมพลังนั้น ก็ถือว่ามีความแตกต่างกันไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาไม่คิดที่จะสิ้นเปลืองเวลาอะไรอีก
เห็นหลินหยุนบำเพ็ญฝึกฝนต่อ คู่ดวงตาที่สวยงามของซิงเฟยก็เป็นประกายขึ้น ทำปากมุ่ย หันหลังแล้วก็เดินออกไปจากวิมาน
เมื่อออกมาจากวิมาน ก็หยิบยันต์สื่อสารของตนเองออกมา แล้วก็พิมพ์เนื้อหาลงไปพร้อมกับใบหน้าที่หม่นหมอง
จากนั้นก็ออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนหยุน
ทางใต้ของเมือง หอเยว่หลาย
ซิงเฟยก้าวเดินเข้าไป แล้วก็เลือกหาที่นั่งภายในห้องโถง
ไม่นาน เงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาด้านใน
เมื่อเห็นซิงเฟย คนที่มานั้นก็รีบเดินเข้ามาหา และนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“เฟยเฟย วันนี้มาหาฉัน คือต้องการที่จะไปเดินเล่นในสำนักของพวกเราใช่ไหม? ”
“ฉันว่าอย่าเลยดีกว่า”
“เพราะว่าก่อนหน้านี้หลินหยุนเพื่อนของเธอคนนั้น ได้มีปัญหาไม่พอใจกันกับศิษย์พี่เจียง”
“ถ้าหากเธอจะไปที่สำนัก ก็ควรจะให้ศิษย์พี่เจียงพาไปจะดีกว่า”
“ฉันพาไปไม่ได้หรอก! ”
เห็นใบหน้าที่เย็นชาของซิงเฟยแล้ว ติงหลิงก็หนักใจ
แต่ว่าเธอก็ได้เตรียมใจมาก่อนแล้ว ในตอนนี้เหมือนจะทำเป็นมองไม่เห็น แกล้งหลอกลวงตบตาซิงเฟยอยู่
แต่ซิงเฟยนั้นไม่ยอมปล่อยให้เธอเปลี่ยนเรื่องพูดได้ง่ายดายอย่างนี้ พลันเงยหน้าขึ้น แล้วก็มองไปที่ติงหลิงด้วยสายตาที่เย็นชา
ติงหลิงตกใจ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เฟยเฟย เธอเป็นอะไรไป? ใครทำให้เธอโมโหขนาดนี้ด้วย? ”
ซิงเฟยยิ้มเยาะ และพูดว่า “ติงหลิง เธอใช้ได้เลยนะ! เมื่อเข้าไปอยู่ในสำนักเทียนหยุนแล้ว เพื่อนเก่าอย่างฉันนี้ เห็นสมควรจะเลิกคบก็เลิกคบเลย ใช่ไหมล่ะ? ”
ซิงเฟยไม่เปิดโอกาสให้ติงหลิง โดยพูดต่อทันทีว่า “ยังจะมาทำเป็นเล่นตบตากับฉันอีก! เธอกล้าพูดไหมล่ะว่าเรื่องที่คุณชายเซียวยู่บ้าบออะไรนั้นมาหาเรื่องพวกเรานั้น เธอเอง
ไม่รับรู้? ”
“ฉันเองก็ไม่ได้จะขอร้องอะไรเธอ แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนรักที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เธอบอกให้ฉันทราบก่อนล่วงหน้า ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ? ”
“เมื่อเธอปีนป่ายขึ้นบนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าแล้ว ก็มองไม่เห็นคนตัวเล็กอย่างฉันแล้วใช่ไหมล่ะ! ”
“พวกเรามีความสัมพันธ์กันมานานหลายปี วันนี้ฉันว่าพวกเรายุติลงกันเพียงเท่านี้เถอะ! ”
ติงหลิงได้ยินดังนั้นก็ลุกยืนขึ้นทันที ใบหน้าอันงดงามของเธอก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอย่างหนัก
แต่เห็นว่าบริเวณโดยรอบมีผู้คนอยู่กันจำนวนไม่น้อย จึงสูดหายใจลึก แล้วก็นั่งลงไปอีกครั้ง
กัดฟันพูดกับซิงเฟยว่า “คิดไม่ถึงว่าเธอจะโกรธเคืองฉัน! ฉันเคยบอกกับเธอไปตั้งนานแล้วว่า ให้พวกเธอรีบหนีไป! แต่เธอฟังไหมล่ะ? ”
“ตอนที่ฉันกลับไปยังสำนัก เจียงเผิงนั้นระแวดระวังตัวอย่างกับอะไร! ”
“เธอรู้ไหมว่าเขาพูดอย่างไรกับพวกเรา? ”
“เขาพูดว่าเขายุติเรื่องแล้ว จากนั้นก็บอกว่าจะพาพวกเราไปดูละคร! ”
“เมื่อพวกเรามาถึงทางใต้ของเมืองแล้ว ถึงจะรู้ว่า ที่จริงแล้วเขายังไม่ได้ยุติเรื่องดังกล่าวลง! ”
“จากนั้นอีกไม่นาน จางเซียวยู่ก็ปรากฏตัวแล้ว! ”
“เมื่อจางเซียวยู่มาถึงแล้ว ฉันบอกกับเธอไปแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร? ”
“เป็นเพราะพวกเธอเลือกหยุดพักอยู่ที่นี่เอง ตอนนี้จะย้อนกลับมากล่าวโทษฉันได้อย่างไร? ”
“ซิงเฟย เธอมีเหตุผลบ้างหรือเปล่า? ”
คำพูดนี้มีทั้งความจริงและไม่จริง
ที่จริงแล้วพวกเธอรออยู่ที่โรงเตี๊ยมเยว่หลายบริเวณเชิงเขา เป็นเวลานานกว่าจางเซียวยู่ถึงจะปรากฏตัว
หากจะแจ้งเรื่องให้กับซิงเฟยรับทราบ อันที่จริงสามารถทำได้อยู่แล้ว แต่ว่าเธอไม่ได้ทำอย่างนั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ห้ามทำลักษณะท่าทางที่อ่อนแอเด็ดขาด จะต้องพูดให้ซิงเฟยเชื่อถือให้ได้
ซิงเฟยเองก็ไม่ได้คิดว่าจะมาทะเลาะอะไรกับติงหลิงในตอนนี้
เธอต้องการให้ติงหลิงช่วยเหลืออะไรบางอย่าง ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ของติงหลิง และได้ยินสิ่งที่ติงหลิงพูด ซิงเฟยพลันถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ที่เธอพูดนั้นเป็นความจริงเหรอ? ”
ติงหลิงส่งเสียงฮึรุนแรงอย่างเย็นชา และพูดแบบไม่สบอารมณ์ว่า “แน่นอน! ฉันจะโกหกเธอทำไม ตัวฉันเองจะได้ประโยชน์อะไร? เธอคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนกันเหรอ? ”
ซิงเฟยรีบพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นฉันก็อภัยให้เธอก็แล้วกัน! ”
ติงหลิงพลันพูดไม่ออก และพูดขึ้นว่า “ฉันอยากจะได้คำให้อภัยจากเธออย่างนั้นเหรอ? ”
ซิงเฟยพูดขึ้นว่า “พอได้แล้ว ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เธอพูดกับฉันมาดี ๆ ว่า ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลำพังแค่คนอย่างศิษย์พี่เจียงเผิงอะไรของเธอนั้น จะสามารถเชิญให้จางเซียวยู่ออกมาลงมือต่อสู้นั้น? คงจะเป็นไปไม่ได้? ”
ติงหลิงทำปากมุ่ยและพูดว่า “เธออย่าได้ดูถูกคน! ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดกับเธอไปก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? เจียงเผิงมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก! แต่แน่นอนว่า ถ้าหากลำพังแค่คำพูดของเขา คงจะไม่มีทางเชิญศิษย์พี่เซียวอยู่ได้อย่างเด็ดขาด! ”
“แต่เจียงเผิงยังมีพี่ชายอีกคนหนึ่ง เพราะเธอไม่ค่อยได้ผจญภัยในโลกภายนอก คาดว่าคงจะไม่ทราบหรอก”
“ คนผู้นี้ชื่อว่าเจียงยี่ เป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่เซียวยู่ ซึ่งเจียงยี่เป็นคนที่เชิญให้ศิษย์พี่เซียวยู่ออกมาต่อสู้! ”
“เธอโชคดีมากแล้ว ที่หลินหยุนนั้นไม่ได้ลงมือสังหารศิษย์พี่เซียวยู่! ”
“ไม่อย่างนั้น ทั่วทั้งโลกคุนชางคงจะไม่มีใครสามารถปกป้องคุ้มกันชีวิตของพวกเธอได้! ”
“อย่าโทษว่าฉันไม่ได้เตือนเธอนะ เธอควรจะรีบตัดขาดความสัมพันธ์กับหลินหยุนนั้นจะเป็นการดีที่สุด ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อเธอเอง และถึงขนาดสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลซิงของเธอด้วย! ”
“เธออย่าได้หุนหันพลันแล่นไป โดยที่แม้แต่ตระกูลก็ไม่สนใจอะไรแล้ว! ”
“ใช่สิ ฉันขอถามเธออีกครั้ง เธอต้องพูดความจริงกับฉัน หลินหยุนผู้นี้ตกลงเป็นใครกันแน่? ”
“พลังบำเพ็ญของคนผู้นี้ ทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น? เขาคงไม่ใช่ยอดฝีมืออาวุโสที่ฝึกฝนวิชาชั่วร้าย ใช้วิชาแปลกประหลาด จงใจทำให้ตนเองกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยขนาดนี้หรอกนะ? ”
ก่อนหน้านี้นั้น ที่หลินหยุนเอาชนะเฉินหย่งได้ ติงหลิงก็แค่รู้สึกว่า ตื่นตะลึงอย่างที่สุด
ส่วนในครั้งนี้ การที่เอาชนะศิษย์พี่จางเซียวยู่ได้ ถึงขนาดที่ว่าตกอยู่ภายใต้การผูกมัดรัดตัวด้วยผ้าแพรขาวป่วนฟ้าของศิษย์พี่จางเซียวยู่ ก็ยังสามารถทำลายผ้าแพรขาวป่วนฟ้าลงได้ ซึ่งช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
นี่ถือว่าเหนือกว่าขอบเขตของยอดฝีมือผู้เก่งกาจล้ำเลิศ เหนือกว่าอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้แล้ว
ไม่เคยได้ยินได้ฟังได้พบเจอที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน
คนแบบนี้ อย่ามาหาว่าสำนักเทียนหยุนของพวกเธอไม่มี แม้แต่สิบแปดสำนักเต๋าอื่น ๆ รวมไปถึงแปดสำนักใหญ่ที่เหลือนั้น ก็คงจะไม่มีอย่างเด็ดขาด
ไม่อย่างนั้น จะเป็นบุคคลที่ไร้ชื่อเสียงได้อย่างไรกันล่ะ?
คงจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว
แต่ลูกศิษย์อัจฉริยะของเก้าสำนักใหญ่ มียอดฝีมือที่เก่งกาจแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ?
ดังนั้นติงหลิงจึงคิดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น
โลกคุนชางไม่มีผู้บำเพ็ญจิตปฐม แดนจิตปฐมจะมีอยู่เพียงแค่ในตำนานร่ำลือเท่านั้น และก็มีเพียงแค่แดนจิตปฐม ถึงจะสามารถยืมซากคืนชีพได้
สำหรับโลกคุนชางในตอนนี้ก็มีวิธีการบางอย่าง เช่นอาศัยวิชาลึกลับชั่วร้ายบางอย่าง ก็สามารถทำได้แล้ว
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการยืมซากคืนชีพที่แท้จริงแล้วนั้น ไม่ใช่ลักษณะเดียวกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างลิบลับ
ตอนนี้ติงหลิงมองว่าหลินหยุนเป็นยอดฝีมืออาวุโสที่ฝึกฝนวิชาชั่วร้ายเหล่านั้นแล้ว
ซิงเฟยได้ยินดังนั้น ก็เหลือบตาขาวใส่อย่างไม่สบอารมณ์
โดยแอบพูดในใจว่าเธอช่างคิดไปได้
แต่ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน