จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ บทที่ 1142
ฉินเหมยตกใจ และก็รับรู้ได้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายหนึ่งทันที
ฉินเหมยสูดหายใจลึก และพูดขึ้นว่า “คุณพ่อตามหาฉันเหรอ? ”
พ่อบ้านพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ตึกจุ้ยซิงนั้นได้ร่ำลือกันไปทั่วแล้ว นายท่านให้ฉันมาเชิญคุณหนูไปพบท่านหน่อย”
ฉินเหมยพูดว่า “ตกลง พวกเราไปกันเถอะ! ”
ที่สนามหลังบ้านของตระกูล
ฉินเหมยเดินตามพ่อบ้านชราเข้าไปในหอ
ผู้อาวุโสผมขาวสีดอกเลาผู้หนึ่ง กำลังนั่งดื่มชาอย่างสงบเงียบอยู่ที่นั่น
เห็นฉินเหมยผลักประตูเข้ามา ผู้อาวุโสก็พูดเบา ๆ ขึ้นว่า “เธอมาแล้วเหรอ! ”
ฉินเหมยพยักหน้า และพูดว่า “คุณพ่อ ท่านตามหาฉันเพื่อต้องการจะพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตึกจุ้ยซิงในวันนี้ใช่ไหม? ”
ผู้อาวุโสพูดเบา ๆ ขึ้นว่า “ถูกต้อง เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เล็ก ท่านจินก็ไม่ใช่ผู้ที่พวกเราจะไปก่อเรื่องกับเขาได้ ดังนั้น จึงอยากจะถามว่าเธอคิดที่จะจัดการอย่างไรต่อไป? ”
ฉินเหมยชะงักไปชั่วครู่ มองไปที่ผู้อาวุโสและพูดขึ้นว่า “แล้วคุณพ่อมีความคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ? ”
ผู้อาวุโสพูดขึ้นว่า “รีบให้ไอ้หนุ่มนั่นออกไปจากตระกูลฉินโดยเร็ว! และกำหนดระยะห่างความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจน! ”
ผู้อาวุโสเคลื่อนไหวสายตาเล็กน้อย และพูดต่อว่า “ฉันได้รับข่าวสารมาแล้วว่า ท่านจินได้นำเรื่องนี้แจ้งให้กับวิหารผนึกวิญญาณแล้ว อีกไม่นานวิหารผนึกวิญญาณก็จะส่งคนมาจัดการ! ”
“ถึงเวลานั้น คงจะต้องเชื่อมโยงความโกรธแค้นมายังตระกูลฉินของพวกเราด้วย! ”
“เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้ามาพัวผันได้รับความเดือดร้อน นี่จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด! ”
ฉินเหมยขมวดคิ้ว และพูดขึ้นว่า “คุณพ่อ ความเป็นมาของหลินหยุนท่านเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี หากให้เขาออกจากตระกูลไปในตอนนี้ ตระกูลฉินของพวกเราจะอธิบายต่อสำนักหยุนเยว่ว่า
อย่างไรล่ะ? ”
เมื่อได้ยินคำว่าสำนักหยุนเยว่ ผู้อาวุโสก็มีสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปทันที
และสีหน้าก็หม่นหมองลงไปทันทีด้วยเช่นกัน
เขาส่งเสียงฮึที่หนักและเย็นชา พร้อมกับยืนขึ้นและพูดว่า “จะต้องอธิบายอะไร? ตายไปแล้วก็ตายไปเถอะสิ! ”
“อย่าพูดถึงเลยเพราะยังไงเขาก็ไม่ใช่คนของสำนักหยุนเยว่ ต่อให้เขาเป็นคนของสำนักหยุนเยว่ แล้วจะอย่างไรล่ะ? ”
“เธอจำไว้นะว่า ตระกูลฉินของพวกเราตั้งแต่ที่แม่ของเธอได้เสียชีวิตลงในตอนนั้น ก็ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรกับสำนักหยุนเยว่อีกแล้ว!”
“สำนักหยุนเยว่แข็งแกร่งก็จริง! แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา! ”
เห็นใบหน้าของคุณพ่อเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ฉินเหมยก็แอบถอนหายใจ
เธอทราบดีว่า ต่อให้เวลาผ่านไปนานหลายปี แต่ในความจริงคุณพ่อก็ยังไม่ได้ปล่อยวาง
ความโกรธแค้นในใจของคุณพ่อ ล้ำลึกอย่างมาก
ถ้าหากเขามีพลังความสามารถมากพอ เธอไม่สงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า……
แต่ นี่คือความคิดที่ยึดมั่นของคุณพ่อของเธอ
ไม่ใช่ของเธอ
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เธอเคยได้ยิน
ไม่เพียงแค่ครั้งเดียว
นั่นไม่ใช่เรื่องราวที่จะแยกแยะได้ว่าถูกหรือผิด มีสีขาวหรือว่าสีดำ
ดังนั้น เธอจึงไม่มีความโกรธแค้นในใจ
เพราะว่าในใจแม่ของเธอเองก็ไม่มีเช่นกัน
ไม่เพียงแต่ไม่มี ต่อให้แม้ว่าตอนที่ใกล้จะจากลาลับไปแล้วนั้น
เธอก็ทราบดีว่าในใจของคุณแม่ก็ไม่มีความโกรธแค้น
แต่กลับเป็นตรงกันข้าม เธอได้กล่าวโทษตัวเองและละอายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ฉินเหมยสูดหายใจลึก และเอ่ยปากพูดขึ้นเงียบ ๆ ว่า “คุณพ่อ ฉันทราบมานานหลายปีว่า ท่านไม่มีความสุข แต่ท่านลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูว่า ถ้าหากคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธอจะยินยอมให้ท่านทำแบบนี้ไหม? ”
ผู้อาวุโสแววตาเป็นประกายแวบขึ้นทันที และพูดเสียงแข็งว่า “อย่ามาพูดเรื่องนี้กับฉัน! ฉินเหมย ตอนนี้ฉันไม่ได้กำลังพูดปรึกษากับเธอ! ”
“เธอคิดให้กระจ่างนะว่า แม้ว่าตระกูลฉินต้องการที่จะคุ้มครอง แต่จะเอาอะไรไปปกป้องคุ้มครองไอ้หนุ่มนั้นได้ล่ะ? ”
“ลำพังแค่ตระกูลฉิน จะสามารถต่อกรรับมือกับวิหารผนึกวิญญาณได้เหรอ? ”
“กิจการของตระกูลฉินที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่แม่ของเธอหลงเหลือเอาไว้ให้ทั้งนั้น! ”
“หรือว่าเธอต้องการที่จะเห็นตระกูลฉินตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีทางจะฟื้นกลับคืนมาได้ เพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยอย่างนั้นเหรอ? ”
ฉินเหมยกัดฟันแน่น
เธอทราบดีว่า เมื่อยอดฝีมือของวิหารผนึกวิญญาณมาถึง ตระกูลฉินคงไม่สามารถที่จะปกป้องหลินหยุนได้
แต่ ปกป้องไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ปกป้อง
เพราะเธอรู้ว่า ถ้าหากคุณแม่กำลังมองดูอยู่บนฟ้า ก็คงจะยินดีกับสิ่งที่เธอตัดสินใจเลือก
ถ้าหากกระทำไม่ได้จริง ๆ แล้ว ค่อยสละสิทธิ์วางมือลงก็ยังไม่สาย
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังไม่ใช่เวลานี้!
คิดถึงตรงจุดนี้ ฉินเหมยจึงพูดขึ้นอย่างแน่วแน่ว่า “คุณพ่อ ฉันคงไม่ทำแบบนั้นแน่! เวลานี้ ฉันไม่ยอมที่จปล่อยให้หลินหยุนออกจากตระกูลฉินไปโดยเด็ดขาด! ”
ผุ้อาวุโสพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เธอไม่เห็นด้วย? ตระกูลแห่งนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะมาเป็นคนตัดสินใจ! หากเธอคิดอยากจะเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจจริง ๆ นั้น ก็ต้องรอให้หลังจากที่ฉันเสียชีวิตลงไปก่อน! ”
“พอเถอะ เรื่องนี้เธอไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกแล้ว! ”
“ฉันจะวางแผนดำเนินการเอง! ”
“เธอไปได้แล้ว! ”
ฉินเหมยรีบพูดขึ้นทันทีว่า “คุณพ่อ! ”
ผู้อาวุโสสายตากระตุกทันที และตวาดใส่ด้วยความโมโหว่า “ไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดเหรอ? ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! ”
ฉินเหมยจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสชั่วครู่ แต่ก็ได้เพียงเดินจากไปด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่เดินออกมาจากด้านในหอ
ฉินเหมยหยุดฝีเท้าลง และแอบพูดในใจขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าคุณพ่อจะลงมือจัดการด้วยตนเองแล้ว!ฉันคงไม่สามารถขัดขวางได้ วิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้ ทำได้เพียงรีบไปหาท่านจินเพื่อจัดการแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด! ”
คิดถึงจุดนี้ ฉินเหมยก็ได้ครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วก็รีบเดินออกมาจากตระกูล
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง
ฉินชิงถงอยู่กับกลุ่มคนรุ่นหลังของตระกูลหลิน โดยที่ได้กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่
เด็กหนุ่มที่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วนก็พลันยืนขึ้นบนเก้าอี้ และตวาดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ได้! หากเป็นแบบนี้ต่อไป เมื่อท่านจินลงมือ พวกเราตระกูลฉินก็จะต้องได้รับความเดือดร้อนด้วยอย่างแน่นอน! ”
เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งก็พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “ถูกต้อง! ดังนั้น ตอนนี้พวกเราควรที่จะไปขับไล่ไอ้หนุ่มนั่นออกไปจากตระกูลฉินของพวกเราเดี๋ยวนี้กันเลยไหมล่ะ! ”
“ถูกต้อง! ขับไล่ออกไปจากตระกูลฉิน! ”
“พวกเราตระกูลฉินไม่ต้อนรับคนที่ชอบก่อปัญหาสร้างเรื่องและหยิ่งยโสโอ้อวดแบบนี้! ”
ฉินชิงถงเองก็ลุกยืนขึ้นและพูดว่า “ทุกคนพูดกันได้ถูกต้อง ไม่สามารถที่จะให้ไอ้หนุ่มนั้นอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว! ตอนนี้พวกเราต้องรีบไปขับไล่เขา! พี่ฉินเฟิง คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ? ”
ขณะที่พูด ก็ได้มองไปยังเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรเลย
ฉินเฟิง
คือคนที่ฉลาดและเก่งกาจอันดับหนึ่งของคนรุ่นหลังกลุ่มวัยรุ่นตระกูลฉิน
พื้นฐานความสามารถของเขาเป็นรองฉู่เทียนอยู่บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ที่ฉู่เทียนไม่ต้องผ่านการทดสอบก็สามารถเป็นลูกศิษย์สายในของสำนักสุริยันได้นั้น นอกจากการที่มีพื้นฐานความสามารถที่พิเศษแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นอีกด้วย
ฉินเฟิงลุกยืนขึ้น ด้วยสีหน้าหม่นหมองถึงขนาดมีรอยย่นระหว่างคิ้ว โดยได้พูดว่า “ทุกคนพูดกันถูกต้องทั้งหมด! หลินหยุนผู้นี้ ไม่สามารถที่จะอยู่ในตระกูลฉินของเราต่อไปอีกได้แล้ว! เขาคือตัวปัญหา! ”
ได้ยินที่เขาพูด วัยรุ่นหกเจ็ดคนของตระกูลฉินต่างก็พูดพร้อมกันขึ้นว่า “ถูกต้อง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้พวกเราก็จะไป ขับไล่ไอ้หนุ่มนั่นออกไปจากตระกูลฉินของพวกเรา! ”
ขณะที่ทุกคนพูด ก็ได้มุ่งหน้าพากันไปยังที่พักของหลินหยุนด้วยความโมโห
ครู่เดียว หลินหยุนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายดังขึ้นที่ด้านนอก
เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วก็ลงมาจากเตียง ประตูห้องของเขาก็ถูกคนที่อยู่ด้านนอกถีบจนเปิดออกเอง
จากนั้น กลุ่มคนที่นำโดยฉินเฟิงกับฉินชิงถงก็พุ่งพรวดกันเข้ามาด้านใน
“หลินหยุน นายไอ้ตัวปัญหา เวลานี้แล้ว นายยังจะมีหน้าอยู่ที่ตระกูลฉินของพวกเราอีกเหรอ? ”
“ถูกต้อง! รีบไสหัวออกไปจากตระกูลฉินของพวกเราเดี๋ยวนี้! ”
“ตระกูลฉินของพวกเราไม่ต้อนรับนาย! รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! ”
หลายคนที่อยู่ด้านหลังของฉินเฟิงกับฉินชิงถง ต่างก็ได้เอ่ยปากขับไล่ไสส่งหลินหยุนในทันที
หลินหยุนได้กวาดสายตามองไปที่ฉินเฟิงและฉินชิงถงทั้งสองคนนี้ก่อน จากนั้นก็กวาดสายตามองไปที่พวกคนที่อยู่ด้านหลังเล็กน้อย
เขาเข้าใจดีว่า พวกคนเหล่านี้ คงไม่ใช่ฉินเหมยที่สั่งการให้มา
โดยก่อนที่ฉินเหมยจะจากไปนั้น ได้บังคับให้ตนเองอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยท่าทีที่แน่วแน่และจริงใจ
ซึ่งไม่มีทางที่จะกลับคำพูดอย่างแน่นอน
และยิ่งไม่มีทางที่เธอจะพูดต่อหน้าอีกอย่าง แล้วลับหลังทำอีกอย่างเด็ดขาด
ซึ่งตัดสินจากจุดเล็กน้อยนี้ หลินหยุนก็ยังคงเชื่อมั่น
ถ้าอย่างนั้นพวกคนเหล่านี้มาด้วยใจของตนเอง หรือว่าถูกคนอื่นของตระกูลฉินสั่งให้มากันแน่
ตระกูลฉินมีขนาดใหญ่อย่างนี้ คงจะไม่ได้มีเพียงฉินเหมยคนเดียวอย่างแน่นอน
เพราะว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สำหรับตระกูลฉินแล้วนั้น ถือว่ายิ่งใหญ่พอสมควร
คนของตระกูลฉินมีความเป็นกังวล นั่นก็คือเรื่องปกติธรรมดา